การเมืองไทย
ผู้นำอังกฤษเผย เจรจา ‘เบรกซิท’ อาจล่ม

ในขณะที่อังกฤษใกล้ถึงกำหนดถอนตัวสหภาพยุโรป (อียู) อย่างไร้ข้อตกลงในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า ผู้นำอียูและอังกฤษก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตกลงเจรจาการค้าได้ โดยนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษถึงกับระบุว่า “มีความเป็นไปได้สูง” ที่การเจรจาจะล้มเหลว
ทั้งสองฝั่งเตือนประชาชนของตนว่า อาจพบกับ “เรื่องช็อค” รับปีใหม่ เนื่องจากอาจมีการเปลี่ยนแปลงทางการค้าระหว่างอังกฤษและอียูครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 50 ปี
ท่าทีของผู้นำอังกฤษมีขึ้นในขณะที่การเจรจาพยายามหาข้อยุติคืบหน้าไปล่าช้าเกินกำหนด หลังจากที่การเจรจาระหว่างเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปและนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันล้มเหลวถึงสามครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายมีกำหนดหาข้อสรุปการเจรจาให้ได้ภายในวันอาทิตย์นี้
นายกรัฐมนตรีจอห์นสันระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ความสัมพันธ์ของอังกฤษหลังออกจากอียูจะมีลักษณะเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและอียู ซึ่งหมายความว่า จะไม่มีการข้อตกลงการค้าเสรีกับอียู อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีอังกฤษระบุว่าา ความเป็นไปได้ดังกล่าวอาจไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเสมอไป
อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งอียูเองกลับแสดงความกังวลถึงการเจรจาดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีสเตฟาน ลอฟเวน ของสวีเดน กล่าวว่าเขาค่อนข้างรู้สึกสิ้นหวัง หลังรับฟังสรุปการเจรจากับอังกฤษจากประธานคณะกรรมาธิการยุโรป
ทางด้านเดวิด แซสโซลิ ประธานรัฐสภายุโรป ก็ระบุเช่นกันว่าเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ไม่มั่นใจว่าปัญหาต่างๆ จะได้รับการคลี่คลาย ทั้งนี้ รัฐสภายุโรปจะต้องอนุมัติข้อตกลงระหว่างอังกฤษและอียู หากทั้งสองฝ่ายสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้

การออกจากอียูของอังกฤษอาจทำให้ตำแหน่งงานหลายแสนตำแหน่งตกอยู่ในความเสี่ยง และส่งผลต่อมูลค่าการค้าอีกหลายหมื่นล้านดอลลาร์
เมื่อวันพฤหัสบดี ทางอียูเสนอแผนสำรองสี่แผนเพื่อให้การจราจรทางอากาศและทางถนนระหว่างอังกฤษและอียูยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นที่สุดในช่วงหกเดือนหลังจากอังกฤษออกจากอียูอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม
อียูยังเสนอด้วยว่า ชาวประมงของทั้งสองฝ่ายควรเข้าไปทำประมงในน่านน้ำของอีกฝ่ายได้เป็นเวลาอีกหนึ่งปี เพื่อลดความเสียหายทางการค้า อย่างไรก็ตาม แผนสำรองดังกล่าวยังต้องขึ้นกับทางอังกฤษว่าจะเสนอแผนในลักษณะเดียวกันหรือไม่
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การเจรจาไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากอังกฤษยืนยันว่าจะไม่ผูกติดกับกฎระเบียบของอียู แม้ว่าอังกฤษจะต้องการส่งออกอย่างเสรีไปยังกลุ่มประเทศอียูก็ตาม ในขณะที่ทางอียูรักษากฎระเบียบดังกล่าวไว้เพื่อรักษาสภาพตลาดเดี่ยวและเพื่อรับประกันว่า ตลาดของอียูจะอยู่ได้โดยไม่ถูกประเทศอื่นโดยรอบที่มีกฎระเบียบทางการค้าต่ำกว่าตัดโอกาสทางธุรกิจ
ในช่วงสี่ปีที่มีการเจรจาเกี่ยวกับเงื่อนไขการออกจากอียูของอังกฤษและความสัมพันธ์ทางการค้าในอนาคต ทั้งฝ่ายอังกฤษและอียูไม่สามารถสรุปการพูดคุยตามเส้นตายที่เคยกำหนดไว้ไปแล้วหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม การออกจากอียูของอังกฤษในวันที่ 1 มกราคมที่จะถึงนี้จะต่างออกไป เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษได้ดำเนินการขั้นตอนเปลี่ยนผ่านมาตั้งแต่วันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ตามข้อผูกพันทางกฎหมาย
การออกจากอียูโดยไร้ข้อตกลงของอังกฤษ จะทำให้มีกำแพงทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะได้รับผลกระทบมากกว่าเนื่องจากการค้าของอังกฤษเกือบครึ่งหนึ่งเป็นการค้ากับกลุ่มประเทศอียู
การเจรจาการค้าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาไม่สามารถหาข้อตกลงได้ในประเด็นสิทธิการทำประมง กฎการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม และการคลี่คลายข้อพิพาทในอนาคต
แม้ทั้งสองฝ่ายจะต้องการข้อตกลง แต่อังกฤษและอียูก็มีมุมมองในรายละเอียดแตกต่างกัน อียูกังวลว่าอังกฤษจะลดมาตรฐานทางสังคมและสิ่งแวดล้อม อัดฉีดเงินให้อุตสาหกรรมภายในประเทศ กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจที่มีกฎระเบียบต่ำ และอาจเป็นคู่แข่งทางการค้าที่ใกล้ตัวของอียูได้ ทำให้อียูคาดหวังให้มีการใช้กฎระเบียบกับอังกฤษ แลกเปลี่ยนกับการที่อียูจะให้อังกฤษทำการค้ากับตลาดอียูได้
การเมืองไทย
โครงการอาหารโลกเตือน ผู้คน 270 ล้านคนเผชิญภาวะขาดอาหาร

เดวิด บีส์ลีย์ ผู้อำนวยการบริหารของโครงการอาหารโลก หรือ WFP ของสหประชาชาติ เป็นตัวแทนขององค์กรเข้ารับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อวันพฤหัสบดี พร้อมเตือนว่า มีผู้คน 270 ล้านคนทั่วโลกเผชิญกับภาวะขาดอาหาร
นายบีส์ลีย์กล่าวระหว่างพิธีรับมอบรางวัลว่า รางวัลโนเบลที่ WFP ได้รับในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณให้มีการลงมือปฏิบัติจริง เพราะมีผู้คนทั่วโลก 270 ล้านคนกำลังจะเข้าสู่ภาวะขาดอาหารเนื่องจากสงคราม การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การใช้ความหิวโหยเป็นเครื่องมือทางการเมืองและการทหาร รวมถึงการระบาดของโควิด-19
“จากผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยง 270 ล้านคนนั้น มีถึง 30 ล้านคนที่ชะตาชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับเรา 100 เปอร์เซ็นต์” ผู้อำนวยการของ WFP กล่าวในพิธีที่จัดแบบเสมือนจริงที่กรุงโรม อันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของ WFP
บีส์ลีย์ยังกล่าวด้วยว่า แม้จะมีผู้คนจำนวนมากกว่าประชากรทั้งหมดในยุโรปตะวันตกที่กำลังเข้าใกล้ภาวะอดอาหาร แต่อีกด้านหนึ่ง กลับมีความมั่งคั่งในโลกมากถึง 400 ล้านล้านดอลลาร์ แม้แต่ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนัก ก็มีความมั่งคั่งในโลกเพิ่มขึ้น 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 90 วัน ในขณะที่การช่วยให้ผู้คน 30 ล้านคนให้พ้นจากภาวะทุพโภชนาการนั้นใช้เงินเพียง 5 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น
ทั้งนี้ เมื่อปีค.ศ. 2019 WFP ได้ช่วยเหลือผู้คนเกือบ 100 ล้านคนใน 88 ประเทศ คณะกรรมการโนเบลนอร์เวย์ระบุว่า WFP ได้ปฏิบัติภารกิจเพื่อบรรเทาความหิวโหยและส่งเสริมสันติภาพในดินแดนที่มีความขัดแย้ง และเป็นกำลังสำคัญในการป้องกันไม่ให้มีการใช้ความหิวโหยเป็นเครื่องมือทำสงคราม ตลอดช่วงเวลา 60 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กร
การเมืองไทย
เด็กนักเรียนไนจีเรียหลายร้อยคนถูกลักพาตัว ผู้ปกครองวอนเจ้าหน้าที่เร่งติดตาม

ผู้ปกครองของนักเรียนชายที่โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในรัฐแคตสินา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของไนจีเรีย วิงวอนให้เจ้าหน้าที่เร่งช่วยเหลือบุตรหลานของพวกตนจำนวนหลายร้อยคนที่ถูกลักพาตัวไปโดยกลุ่มมือปืนหลายคน
โฆษกประธานาธิบดีไนจีเรีย แถลงในคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ทหารไนจีเรียได้ยิงต่อสู้กับกลุ่มมือปืนที่ลักพาตัวเด็กนักเรียนไปจากโรงเรียนชายล้วน Government Science ในเมืองคานคารา แต่บรรดาผู้ปกครองเปิดเผยในวันอาทิตย์ว่าพวกตนยังไม่ทราบชะตากรรมของบุตรหลานจนถึงขณะนี้
พ่อแม่บางคนกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ตนได้แต่สวดภาวนาของให้ลูกปลอดภัย และขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยเร่งติดตามหาเบาะแสของนักเรียนที่ถูกลักพาตัวไป
นักเรียนบางคนที่หนีรอดมาได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ว่า พวกตนหลบหนีออกมาจากป่าที่ถูกกลุ่มมือปืนพาไปซ่อนตัว แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามีนักเรียนที่ถูกจับไปทั้งหมดที่คนและกลุ่มคนร้ายมีจุดประสงค์อะไร
ที่ผ่านมา กลุ่มมุสลิมติดอาวุธทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของไนจีเรียมักก่อเหตุโจมตีใส่ชาวบ้าน รวมทั้งปล้นบ้านเรือนและลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ โดยเมื่อเดือนที่แล้ว เกิดเหตุคนร้ายโจมตีและสังหารตัดคอเกษตรกรหลายคนในรัฐบอร์โน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรียด้วย
การเมืองไทย
ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังพุ่งท่ามกลางข่าวเตรียมฉีดวัคซีนโควิด

ในขณะที่หลายประเทศกำลังรับรองวัคซีนโควิด-19 ให้สามารถใช้ได้กับประชากรในประเทศนั้นเป็นกรณีฉุกเฉิน ตัวเลขผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสในประเทศต่าง ๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ศูนย์ข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอพกินส์ ระบุว่า มีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก ณ วันอาทิตย์เกือบ 72 ล้านคน เสียชีวิตแล้วมากกว่า 1.6 ล้านคน
ที่ยุโรป อิตาลีแซงหน้าอังกฤษขึ้นมาเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในยุโรปด้วยจำนวน 64,520 คน เทียบกับ 64,267 คนในอังกฤษ โดยตัวเลขผู้เสียชีวิตในอิตาลีเพิ่มขึ้นมากกว่า 25,000 คนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน
ส่วนที่เกาหลีใต้ สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคเกาหลีใต้ ระบุว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1,030 รายในวันอาทิตย์ซึ่งมากที่สุดเป็นสถิติใหม่เช่นกัน
และที่เม็กซิโก เจ้าหน้าที่ประกาศจำกัดเวลาเปิดร้านค้าและธุรกิจต่าง ๆ ในกรุงเม็กซิโกซิตี้ให้เปิดได้ไม่เกิน 17.00 น. เพื่อลดอัตราการระบาดของโควิด-19
ส่วนที่บราซิล ศาลสูงมีคำสั่งให้รัฐบาลบราซิลออกมาตรการใหม่เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัส ในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในบราซิลกำลังแตะหลัก 7 ล้านคน และเสียชีวิตแล้วมากกว่า 180,000 คน